Mitsubishi Xpander HEV รถครอบครัว 7 ที่นั่ง ที่ยกระดับการขับขี่ไปอีกขั้นในทุกเส้นทาง

แม้ปัจจุบันจะมีรถอเนกประสงค์มากมายในตลาดรถประเทศไทย แต่ประเภทรถที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคงจะหนีไม่พ้นรถ MPV หรือรถครอบครัว 7 ที่นั่งอย่าง Mitsubishi Xpander HEV ด้วยการออกแบบที่ครอบคลุมการใช้งานได้หลากหลาย พื้นที่การใช้งานที่กว้างขวาง จึงได้ชื่อว่าเป็นรถครอบครัว 7 ที่นั่งที่ครองใจคนไทยเป็นอันดับ 1 มาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ที่การันตีโดย ‘2025 Thailand’s Most Admired Brand’ และรางวัล ‘Brand Star’ จาก BrandAge1 ในบทความนี้เราจะพามาดูกันว่าอะไรที่ทำให้ Mitsubishi MPV ครองใจชาวไทยมาจนถึงตอนนี้

รถยนต์ MPV คืออะไร? ทำไมถึงเป็นที่นิยมในตลาดประเทศไทย?

เมื่อพูดถึงรถอเนกประสงค์ หลายคนอาจนึกถึงรถ SUV (Sport Utility Vehicle) โดยมีภาพจำอยู่ที่ความสมบุกสมบันและการใช้งานที่หลากหลาย แต่สำหรับรถ MPV (Multi-Purpose Vehicle) จะต่างออกไปด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นทรงเหลี่ยมและมีห้องโดยสารขนาดใหญ่ เพื่อเน้นการรองรับผู้โดยสารมากขึ้น ด้วยจำนวนที่ไม่ต่ำกว่า 6 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีการใช้งานที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนที่นั่งให้สลับไปรองรับการจัดเก็บของได้ และด้วยตัวรถที่ยกสูงไม่มาก ผู้สูงอายุสามารถขึ้น-ลงง่าย สิ่งเหล่านี้เองทำให้ MPV ขึ้นชื่อว่าเป็นรถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัว

สำหรับ Xpander HEV ถือเป็นรถ MPV 7 ที่นั่ง ที่มีเสียงตอบรับในตลาดประเทศไทยที่ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้งานที่ตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ ผสานความเป็น Full Hybrid ที่ช่วยประหยัดน้ำมัน ด้วยเหตุนี้ Xpander HEV จึงก้าวมาเป็นตัวเลือกของผู้ใช้รถชาวไทยอันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

ปัจจุบัน Xpander มีการแบ่งออกเป็น 2 รุ่นใหญ่ๆ คือ Xpander HEV และ Xpander Cross HEV โดยมี Xpander HEV PLAY และ Xpander Cross HEV PLAY เพิ่มเข้ามาในปี 2025 ซึ่งถือเป็น Edition ใหม่ที่มีการปรับเพิ่มชุดแต่งรอบคันเพื่อเติมเต็มทุกการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น

การออกแบบภายนอกที่โดดเด่นตามแบบฉบับของ Mitsubishi

สำหรับ Xpander HEV มีดีไซน์หน้ารถที่โดดเด่นด้วยการออกแบบกระจังหน้าแบบ SEAMLESSLY DESIGNED GRILLE WITH ACCENT พร้อมแถบตกแต่ง ที่นอกจากจะดูทรงพลังมีเอกลักษณ์และช่วยในเรื่องความปลอดภัยแล้ว ยังสะท้อนความเป็นสปอร์ตด้วยลายกระจังที่ดุดัน โดยมีจุดศูนย์ถ่วงระยะต่ำ เพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนน และความสูงใต้ท้องรถ 205 มม. ที่อำนวยความสะดวกในการก้าวขึ้น-ลงได้สะดวกสบาย มาพร้อมไฟหน้าตัดหมอกแบบ LED ที่ใช้ระบบควบคุมการเปิด-ปิดแบบอัตโนมัติ ช่วยให้ปลอดภัยเมื่อต้องขับขี่ในเวลากลางคืน แน่นอนว่าด้วยมิติของตัวถังที่ยาว 4,595 มิลลิเมตรและกว้าง 1,750 มิลลิเมตร จึงกว้างขวางเพียงพอต่อการใช้งานทั้งในเมืองหรือต่างจังหวัดในทุกรูปแบบ

 

มิติตัวถัง

ยาว 4,595 มิลลิเมตร

กว้าง 1,750 มิลลิเมตร

สูง 1,750 มิลลิเมตร

ระยะฐานล้อ Wheelbase 2,775 มิลลิเมตร

ระยะต่ำสุดถึงพื้น Ground Clearance 205 มิลลิเมตร

สำหรับสีของ Xpander HEV จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 สี และมี 1 สีที่เพิ่มเข้ามาสำหรับ Xpander Cross HEV คือสีเขียวบรอนซ์ หลังคาดำ ซึ่งเป็นสีเขียวที่ให้ความรู้สึกสมบุกสมบันตามชุดแต่งและอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มเข้ามา

 

 

รุ่น (Model)

รายการสี (Color)

Xpander HEV

สีขาวมุก หลังคาดำ (White Diamond with Black Roof)

 

สีเทา (Graphite Gray)

 

สีเงิน (Blade Silver)

 

Xpander Cross HEV

 

สีขาวมุก หลังคาดำ (White Diamond with Black Roof)

 

สีเขียวบรอนซ์ หลังคาดำ (Green Bronze with Black Roof)

 

สีเทา (Graphite Gray)

 

สีดำ (Jet Black Mica)

ความสบายภายในห้องโดยสารของ Xpander HEV

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ Xpander HEV โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งคือความสบายในการขับขี่ ด้วยการใช้วัสดุซับเสียงและกันเสียงรอบคัน จึงช่วยให้เงียบสบายตลอดการเดินทาง อีกทั้งยังมีการใช้เบาะหนังสังเคราะห์ที่มาพร้อมคุณสมบัติสะท้อนความร้อน (HEAT GUARD) และระบบปรับอากาศด้านหลังแบบแยกส่วน ผู้โดยสารสามารถปรับอุณหภูมิเองได้ จึงหายห่วงได้ในเรื่องของความเย็นสบายเมื่อต้องเดินทางพร้อมกันหลายคน นอกจากนี้ยังมีดีเทลเล็กๆ ที่ Mitsubishi สอดแทรกมาในเรื่องของการอำนวยความสะดวก อย่างช่องเก็บน้ำและของจุกจิกที่กระจายอยู่ในทุกๆ แถวโดยสารที่รวมกันแล้วสามารถเก็บได้กว่าเกือบๆ 20 ขวด จึงรองรับการเดินทางระยะไกลได้เป็นอย่างดี

 

และไฮไลต์ที่ขาดไม่ได้สำหรับภายในห้องโดยสาร คือพื้นที่อันกว้างขวางสำหรับ 7 ที่นั่ง มีความสูง 1,750 มม. ที่เพียงพอให้คนตัวสูงสามารถนั่งโดยสารได้สบายๆ และเบาะที่ปรับพับอิสระได้ถึง 7 แบบ พร้อมรองรับการใช้งานในทุกรูปแบบและไลฟ์สไตล์ สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่โดยสารให้เป็นพื้นที่ขน สัมภาระให้มากขึ้นได้ ทำให้ไม่ว่าจะนั่งหรือนอนหรือขนของก็สามารถทำได้ไม่มีติดขัด

ระบบความบันเทิงที่ครบครันใน Xpander HEV

ในส่วนของระบบความบันเทิง Xpander HEV ก็ได้ให้มาอย่างครบครัน ตั้งแต่หน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto จนถึงช่องชาร์จไฟ USB Type-A และ Type-C ที่ให้มาถึง 3 แถว และลำโพง 6 ตำแหน่งที่เพียงพอต่อการใช้งาน

สำหรับความบันเทิงภายในรถนั้น เรียกได้ว่าครบครันตั้งแต่รุ่น IGNITE ด้วยหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนแบบไร้สาย จนถึงช่องชาร์จไฟที่ครบครันทั้ง USB-A และ USB-C  โดยสิ่งที่แตกต่างเมื่ออัปเกรดเป็นรุ่น ULTIMATE จะเป็นฟีเจอร์ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และในรุ่น ULTIMATE X จะมีไฮไลต์อยู่ที่ยกระดับลำโพงให้เป็น 8 ตำแหน่ง และระบบเสียง Dynamic Sound Yamaha Premium ที่ทาง Yamaha พัฒนาขึ้นสำหรับ XFORCE โดยเฉพาะ พร้อม 4 โหมดเสียงพิเศษ (Signature, Lively, Powerful และ Relaxing) ที่เมื่อรวมกับบรรยากาศที่เก็บเสียงดีของตัวรถแล้ว ก็ยิ่งช่วยให้ได้รายละเอียดเสียงที่คมชัด แยกรายละเอียดของเสียงได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่น ULTIMATE X คือการติดตั้ง Ambient Light ไฟสร้างบรรยากาศที่สะท้อนความไฮเอนด์ให้กับตัวรถไปอีกระดับ

ระบบความบันเทิง

● หน้าจอเครื่องเสียงระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 10 นิ้ว

● รองรับ Apple CarPlay / Android Auto

● ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth

● ช่องเชื่อมต่อ USB ด้านหน้า 1 ตำแหน่ง

● ช่องชาร์จไฟ USB Type-A 1 ตำแหน่ง / Type-C 1 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

● ช่องชาร์จไฟ 12V ด้านหน้า 1 ตำแหน่ง / บริเวณเบาะนั่งแถวหลัง 1 ตำแหน่ง

● ลำโพง 6 ตำแหน่ง

ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger

Mitsubishi e:MOTION ใน Xpander HEV คืออะไร ช่วยในการขับขี่อย่างไร?

สำหรับระบบขับเคลื่อนของ Xpander HEV นั้น ทำงานภายใต้คอนเซปต์ Mitsubishi e:MOTION ที่ผสานการทำงานของ 3 เทคโนโลยีจาก Mitsubishi Motors ไว้ด้วยกัน ได้แก่

 

- ระบบขับเคลื่อน Full Hybrid (HEV System) เต็มรูปแบบ ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์ 1.6L MIVEC และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง ช่วยเปลี่ยนการทำงานของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติให้ดีขึ้นตั้งแต่การออกตัว การขับขี่ความเร็วต่ำและสูงอย่างราบรื่น และที่สำคัญยังช่วยในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ดีเยี่ยม ซึ่งสามารถสรุปเป็นจุดเด่นด้วยกันคือ

  1. ขับขี่นุ่มนวล ไร้เสียงรบกวน
  2. อัตราเร่งดีเยี่ยม
  3. ประหยัดน้ำมัน

- โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ (7 Drive Mode) ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการ ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ปลอดภัย มั่นใจได้ในทุกเส้นทาง ลุยได้ในทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็น

  1. NORMAL (โหมดธรรมดา)
  2. WET (โหมดถนนเปียก)
  3. GRAVEL (โหมดถนนขรุขระ)
  4. TARMAC (โหมดถนนลาดยาง)
  5. MUD (โหมดถนนโคลน)
  6. EV PRIORITY MODE (โหมดขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า)
  7. CHARGE MODE (เครื่องยนต์ทำงานเพื่อชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้าไปในระบบ)

- ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ที่ควบคุมการทำงานของล้อด้านในและด้านนอกขณะเข้าโค้ง ให้ทำงานสัมพันธ์กันและรักษาสมดุลของตัวรถ ถือเป็นฟีเจอร์สำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะลื่นไถลออกนอกเลนเมื่อต้องเข้าโค้ง โดยเฉพาะทางโค้งที่อันตรายในหลายจังหวัดของประเทศไทย

 

นอกเหนือจากโหมดขับขี่และระบบช่วยขับอันเป็นไฮไลต์หลักแล้ว ที่พวงมาลัยของ Xpander HEV ยังมีระบบ Cruise Control ซึ่งเป็นระบบขับขี่ด้วยความเร็วคงที่อัตโนมัติ โดยเมื่อเปิดใช้งานจะทำให้ผู้ขับขี่สามารถรักษาความเร็วคงที่ได้อัตโนมัติ ไม่ต้องคอยกดคันเร่งตลอดเวลา ช่วยลดความเมื่อยล้าเมื่อต้องเดินทางไกล หรือเดินทางนานๆ ถือได้ว่าตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่เป็นพ่อบ้านในที่ต้องขับรถออกจากต่างจังหวัดไกลๆ ได้เป็นอย่างดี

หายห่วงทุกเส้นทาง กับระบบความปลอดภัยที่ผ่านการรับรองระดับสากล

แน่นอนว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้รถไว้วางใจที่จะเป็นเจ้าของ Xpander HEV คือความปลอดภัยที่โดดเด่น ด้วยระบบ Diamond Sense ที่ผสานการทำงานของระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน กล้องมองภาพรอบคัน ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา และระบบเตือนขณะถอยออกจากช่องจอด โดยได้ผ่านการรับรองมาตรฐานการทดสอบการชน ระดับ 4 ดาว ตามเกณฑ์มาตรฐานด้านความปลอดภัย ASEAN NCAP สำหรับความปลอดภัยของ Xpander HEV นอกเหนือจากระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) แล้ว ยังมีระบบความปลอดภัย ดังนี้

 

1. ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน (Active Safety) ช่วยให้การขับขี่ราบรื่น 

● RCTA (ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด): เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง หากเซนเซอร์ด้านหลังตรวจพบรถคันอื่นเข้ามาในรัศมีการตรวจจับ ระบบจะส่งเสียงเตือน และสัญญาณไฟกะพริบ

● BSW with LCA (ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน): ทำงานโดยใช้เรดาร์ตรวจจับรถในเลนถัดไปด้านหลัง หากพบรถในจุดอับสายตา จะส่งสัญญาณไฟเตือนที่กระจกมองข้าง และหากมีการเปิดไฟเลี้ยวพร้อมมีรถในบริเวณดังกล่าว ระบบจะส่งเสียงเตือนเพิ่มเติมพร้อมกับไฟเตือนที่กะพริบ

● LDW (ระบบเตือนการออกนอกเลน): จะทำงานตรวจจับรถในเลนข้างเคียงและจะส่งสัญญาณเตือน หากผู้ขับขี่เปิดไฟเลี้ยวเพื่อจะเปลี่ยนเลนขณะมีรถอยู่ในจุดอับสายตา

● MAM (ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา): จะใช้เรดาร์ตรวจจับรถในเลนถัดไปทางด้านหลังในระยะประมาณ 70 เมตร และแสดง สัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้าง หากมีรถอยู่ในจุดบอด (มีเฉพาะในรุ่น Xpander HEV Cross)

● ABS (ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก): ช่วยป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน ทำให้สามารถควบคุมรถเพื่อหักหลบสิ่งกีดขวางได้

● EBD (ระบบกระจายแรงเบรก): ทำงานร่วมกับ ABS เพื่อกระจายแรงเบรกไปยังแต่ละล้อให้เหมาะสม ช่วยลดระยะเบรกให้สั้นลง

● BA (ระบบเสริมแรงเบรก): เพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกอัตโนมัติเมื่อเหยียบเบรกกะทันหัน เพื่อให้การหยุดรถทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

● ASC (ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว): ช่วยควบคุมรถไม่ให้เสียการทรงตัวหรือลื่นไถลออกนอกเส้นทางเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือบนถนนที่ลื่น

● TCL (ระบบป้องกันการลื่นไถล): ป้องกันล้อหมุนฟรีบนถนนลื่นโดยจะช่วยควบคุมการหมุนของล้อให้สมดุล

● HSA (ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน): ช่วยป้องกันรถไหลเมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน

● ESS (ระบบไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน): ไฟฉุกเฉินจะกระพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกอย่างแรง เพื่อเตือนรถคันหลัง

● ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ: ล็อกประตูอัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็วตั้งแต่ 15 กม./ชม. ขึ้นไป

 

2. ระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง (Passive Safety) ช่วยลดความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

● โครงสร้างตัวถังนิรภัย RISE BODY: ใช้เหล็กกล้าแรงดึงสูงเพื่อช่วยดูดซับแรงกระแทกและลดการยุบตัวของห้องโดยสาร

● ถุงลม SRS คู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง: ช่วยป้องกันแรงกระแทกที่ศีรษะและลำตัวของผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าเมื่อเกิดการชน

● การออกแบบเพื่อปกป้องคนเดินถนน (Pedestrian Protection): ออกแบบส่วนหน้าของตัวถังให้ช่วยลดความรุนแรงหากเกิดการชนกับคนเดินถนน

 

เปรียบเทียบรุ่นย่อย Xpander HEV ตามฟีเจอร์และราคา 

มาถึงตรงนี้หลายคนอาจเกิดคำถามถึงความแตกต่างระหว่าง Xpander HEV และ Xpander Cross HEV ว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง รวมถึงรุ่นพิเศษที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Xpander HEV PLAY และ Xpander Cross HEV PLAY อีกด้วย ในส่วนนี้ก็สามารถอธิบายแบบง่ายๆ ได้เลยว่าต่างกันที่การตกแต่งภายนอกและอุปกรณ์เสริมด้านความปลอดภัย โดย Xpander Cross HEV จะมีการเพิ่มกล้องมองภาพรอบคัน - MAM และตกแต่งภายนอกให้ดูสมบุกสมบันยิ่งขึ้น และเพิ่มตัวเลือกของสีเขียวบรอนซ์เข้ามาให้เข้ากับความเป็น Off-Road

 

ในขณะที่ Xpander HEV PLAY และ Xpander Cross HEV PLAY คือการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับทั้งสองรุ่นด้วยชุดตกแต่งกระจังหน้าและภายนอกรอบคันให้มีความสวยงามเข้ากับไลฟ์สไตล์ที่แอ็กทิฟของยุคนี้ สำหรับความแตกต่างของทั้ง 4 รุ่น สามารถดูได้ตามตารางด้านล่าง

 

ตารางเปรียบเทียบ Xpander HEV ราคาทุกรุ่นในปัจจุบัน

รุ่น (Model)

ราคา

(บาท)

ฟีเจอร์เฉพาะรุ่น

Xpander HEV

939,000

(รุ่นพื้นฐาน HEV)

Xpander Cross HEV

969,000

กระจังหน้าพร้อมชุดตกแต่ง, กันชนหน้าแบบ Vertical Guard, กล้องมองภาพรอบคัน - MAM, ราวหลังคา, แผงตกแต่งข้างประตู และซุ้มล้อแบบ Cross Design

Xpander HEV PLAY

981,000

- ชุดตกแต่งชายกันชนหน้า, ชุดตกแต่งกันชนข้าง, ชุดตกแต่งกันชนหลัง, ชุดสปอยเลอร์หลัง

Xpander Cross HEV PLAY

981,000

กันชนหน้า–หลัง, แผงตกแต่งข้างประตู และซุ้มล้อแบบ Cross Design สีดำ, กระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถ, ราวหลังคา

 

คำนวนค่าใช้จ่ายเบื้องต้น Xpander HEV คลิก

คำนวนค่าใช้จ่ายเบื้องต้น Xpander Cross HEV คลิก

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทำให้ Xpander HEV ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด MPV ในฐานะรถครอบครัว มาจากหลากหลายองค์ประกอบด้วยกัน ตั้งแต่การออกแบบที่โดดเด่นผ่านกระจังหน้าที่โฉบเฉี่ยว การทำงานภายในของระบบขับเคลื่อน Full Hybrid ภายใต้ MITSUBISHI e:MOTION ที่รวมจุดเด่นในการขับขี่จากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าไว้อย่างลงตัว จนถึงความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารที่ครบครัน และที่ขาดไม่ได้คือระบบความปลอดภัยที่ผู้ใช้สามารถวางใจได้ในทุกเส้นทาง สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ Xpander HEV ครองใจผู้ใช้ชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับผู้ที่กำลังมองหารถครอบครัว 7 ที่นั่งอย่างไม่ต้องสงสัย

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: จุดเด่นของ Xpander HEV คืออะไร?

A: การเป็นรถครอบครัว 7 ที่นั่งแบบ Full Hybrid ที่สามารถใช้งานได้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์

 

Q2: ทำไม Xpander HEV ถึงเหมาะเป็นรถครอบครัว?

A: ขนาดตัวถังที่ใหญ่ และพื้นที่กว้างขวาง เบาะที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อิสระถึง 7 รูปแบบ

 

Q3: ระบบความปลอดภัยของ Xpander HEV มีอะไรบ้าง?

A: ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) ระบบช่วยเบรกและช่วยควบคุมการลื่นไถล, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, เทคโนโลยี Diamond Sense, ระบบเตือนจุดอับสายตา, ระบบเตือนการออกนอกเลน และระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ

 

Q4: Xpander HEV และ Xpander CROSS HEV ต่างกันอย่างไร?

A: Xpander HEV ให้ฟีเจอร์พื้นฐานมาอย่างครบถ้วน ในขณะที่ Xpander CROSS HEV เพิ่มกล้องมองภาพรอบคัน - MAM, ชุดตกแต่งสไตล์ Off-Road และตัวเลือกสีเขียวบรอนซ์ เข้ามา

 

Q5: เครื่องยนต์ Xpander HEV แรงพอไหม ถ้าขับขึ้นเขาหรือวิ่งทางไกล?

A: สามารถขับขึ้นเขาและวิ่งทางไกลได้ เพราะใช้ระบบ Full Hybrid กับเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร (95 แรงม้า) ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า (116 แรงม้า) จึงให้แรงบิดตอบสนองที่รวดเร็วและเร่งได้ทันใจ